ศัตรูที่สำคัญของ ต้นยางพารา
โรคและแมลงศัตรูพืช |
ลักษณะอาการ |
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ |
ปลวก ชื่อ คอปโตเทอเมส เซอวิคนาตัส (Coptotermes curvignathus) |
ปลวกงานจะ กัดกินส่วนรากของต้นยางที่มีชีวิตอยู่โดยเฉพาะบริเวณโคนต้นใต้ผิวดิน และกัดกินต่อไปภายใน ลำต้นจนเป็นโพรง ในระยะนี้ต้นยางจะแสดงอาการใบเหลือง ต่อมาเมื่อระบบรากถูกทำลาย เป็นส่วนมากต้นยางจะตายในที่สุด ต้นยางที่ตายเพราะถูกปลวกทำลายนี้ ส่วนมากจะยืนต้นตายอย่างรวดเร็ว การระบาดของปลวกสังเกตได้จากต้นยางที่แสดงอาการใบผิดปกติ จะลุกลามออกไปยังต้นข้างเคียงค่อนข้างรวดเร็ว นอกจากจะทำอันตรายกับต้นยางทุก ๆ ระยะการเจริญเติบโตแล้ว ยังทำลายพืชอื่นอีกหลายชนิด รังของปลวกอาจอยู่ไกลจากแหล่งที่มันหาอาหารมาก และบางครั้งอาจสร้างรังย่อยขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหว่างทางเดินจากรังใหญ่ไปสู่แหล่งอาหาร รังของปลวกชนิดนี้ จะไม่มีลักษณะเป็นจอมปลวกขึ้นมา |
-ปลอดสารพิษ ใช้ (เชื้อรา เมธาไรเซี่ยม) อัตรา 100 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ราดตรงบริเวณที่มีปลวกขึ้นเป็นระยะๆ จะสังเกตุเห็นรังปลวกค่อนข้างยาก ต้องลองขุดดินบริเวณโคนต้นดู หรือ ต้นที่ล้มแล้ว หรืออาจจะสังเกตุทางเดินที่เป็นอุโมงปลวก แล้วราดเชื้อราที่ผสมน้ำแล้วลงไป เชื้อราค่อยๆแพร่เชื้อสู่ตัวปลวก และกระจายสู่ตัวอื่นๆต่อไป |
โรคใบแห้ง ในกิ่งพันธุ์ หรืออาจเรียกว่า โรคใบจุดก้างปลา
เชื้อรา สาเหตุCorynespora cassiicola |
มีขอบแผลสีน้ำตาลดำ กลางแผลเป็นสีเทา ถ้าเข้าทำลายช่วงใบเพสลาด แผลจะลุกลามเข้าไปตามเส้นใบ เห็นเป็นรูปก้างปลา มีสีซีดและใบร่วงในที่สุด ถ้าเข้าทำลายก้านใบ กิ่งแขนงและลำต้นตรงกลางแผลจะช้ำบุ๋มลง และลุกลามจนทำให้ยอดกิ่งก้านและลำต้นแห้งตาย |
ต้นยางอายุน้อยกว่า 2 ปี ควรใช้ คาเรน (สารคาร์เบนดาซิม) ผสมน้ำฉีดพ่นให้ทั่ว ตั้งแต่ เริ่มผลิใบอ่อนทุก 7 วัน และบำรุงต้นยางให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอจะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ ใช้เชื้อไตรโคเดอร์ม่า ผสมน้ำฉีดพ่นให้ทั่ว |
โรคราแป้ง (Powdery mildew) สาเหตุ : เชื้อรา Oidium heveae |
-ระบาดบนใบยางอ่อนที่แตกออกมาใหม่ภายหลังจากการผลัดใบประจำปี จึงเป็นสาเหตุให้ใบยางร่วงอีกครั้งหนึ่งและกิ่งแขนงบางส่วนอาจแห้งตาย ความรุนแรงของโรคจะเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะการผลัดใบของต้นยาง อายุใบ ความต้านทานโรคของพันธุ์ยาง สภาพพื้นที่ของแปลงปลูก และสภาพอากาศในช่วงที่ต้นยางผลิใบใหม่ โรคนี้นอกจากทำให้เกิดอาการทางใบแล้วยังทำให้ดอกร่วง สูญเสียเมล็ดในการขยายพันธุ์ ลักษณะอาการ เชื้อราเข้าทำลายใบอ่อน ทำให้ใบยางบิดงอ เน่าดำและร่วง ในระยะใบเพสลาดจะเกิดเป็นแผล ขนาดค่อนข้างใหญ่และมีขอบเขตไม่แน่นอน บริเวณแผลพบกลุ่มเส้นใยและสปอร์เชื้อราสีขาวเทาคล้าย ผงแป้ง เนื้อเยื่อบริเวณที่เชื้อเจริญจะค่อยๆเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาลอ่อน ถ้าเชื้อราเข้าทำลายดอก ยางจะทำให้ดอกร่วง การแพร่ระบาด ระบาดรุนแรงในช่วงยางผลิใบใหม่ ในสภาพอากาศเย็น ความชื้นสูง มีหมอกในตอนเช้า หรือมี ฝนตกปรอยๆสลับกับแสงแดด เชื้อแพร่ระบาดได้ดีโดยลม |
ต้นยางที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี พ่นสารเคมีบนใบยางที่เริ่มผลิใหม่เมื่อพบโรคระบาด โดย ให้ คาเรน (สารคาร์เบนดาซิม) 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทุกสัปดาห์ตั้งแต่เริ่มพบโรค -ปลอดสารพิษ ใช้เชื้อไตรโคเดอร์ม่า ผสมน้ำฉีดพ่นให้ทั่ว |
โรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อราไฟทอปโทรา (Phytophthora leaf fall) | ระบาดในช่วงฤดูฝน เชื้อสาเหตุทำลายส่วนต่างๆของต้นยางทั้งใบ ฝัก กิ่งก้านและหน้ากรีดยาง
ฝักที่ถูกทำลายจะเน่าดำค้างอยู่บนต้น ไม่แตกและร่วงหล่นตามธรรมชาติ กลายเป็นแหล่งพักของเชื้อที่สำคัญ ลักษณะอาการ สังเกตอาการเด่นชัดที่ก้านใบ โดยปรากฏรอยแผลช้ำสีน้ำตาลเข้มถึงดำตามความยาวของก้านใบ แผลบริเวณที่เป็นทางเข้าของเชื้อ มีหยดน้ำยางเล็กๆเกาะติดอยู่ เมื่อนำมาสะบัดเบาๆใบย่อยจะหลุดออก จากก้านใบได้โดยง่าย มีผลทำให้ใบร่วงทั้งที่ยังเขียวสดอยู่ เชื้ออาจเข้าทำลายปลายใบ หรือขอบใบ เกิดแผลสีน้ำตาลมีลักษณะช้ำน้ำขยายติดต่อกันเป็นแผลใหญ่ ทำให้ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และแดง ก่อนที่จะร่วง ในสภาพอากาศเหมาะสม ยางพันธุ์อ่อนแอใบจะร่วงหมด และผลผลิตลดลงอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังพบว่าเชื้อนี้สามารถเข้าทำลายฝักยางได้ทุกระยะ ทำให้ฝักเน่า ถ้าความชื้นในอากาศสูง จะพบเชื้อรา สีขาวเจริญปกคลุมฝัก ฝักที่ถูกทำลายจะเน่าดำค้างอยู่บนต้น ไม่แตกและร่วงหล่นตาม ธรรมชาติ กลายเป็นแหล่งเชื้อโรคในปีถัดมา การแพร่ระบาด ความรุนแรงของการเกิดโรคขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝน และจำนวนวันฝนตก เชื้อนี้ต้องการน้ำเพื่อ การขยายพันธุ์จึงระบาดได้ดีในสภาพอากาศเย็น ฝนตกชุก มีความชื้นสูงต่อเนื่องกันอย่างน้อย 4 วัน มี แสงแดดน้อยกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนขยายพันธุ์จะถูกทำลายโดยง่ายด้วยแสงแดดและสภาพอากาศแห้ง พืชอาศัย มีรายงานว่าเชื้อ P. palmivora เข้าทำลายพืชอื่นได้มากกว่า 130 ชนิด อาทิ ส้ม พริกไทย ปาล์ม โกโก้ ทุเรียน |
การป้องกันกำจัด 1. ไม่ควรปลูกยางพันธุ์อ่อนแอต่อโรค เช่น RRIM 600ในแหล่งปลูกที่เป็นเขตระบาดของโรค 2. ไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเป็นพืชแซมหรือพืชร่วม 3. กำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งในสวนยางให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นในสวนยาง 4. หากเชื้อระบาดกับต้นยางอายุน้อยกว่า 2 ปี หรือในแปลงเพาะชำต้นกล้ายาง ป้องกันกำจัดโดยพ่นด้วยสารเคมี สารเคมี - ใช้เมทาแลกซิล - หรือใช้ ซีบัส(สารฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม) ปลอดสารพิษ - ใช้ ชีวภัณฑ์ บีเอสวัน เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ซับทีลิส ป้องกันโรคพืช) - แนะนำ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ยาทาหน้ายาง "รับเบอร์ดี" ทาหน้ายางเหนือ และใต้รายกรีด |
-โรคเส้นดำ (Black stripe) สาเหตุ : เชื้อรา Phytophthora botryosa และ P. palmivora -โรคเปลือกเน่า (Mouldy rot) สาเหตุ : เชื้อรา Ceratocystis fimbriata |
-ใช้การป้องกันเหมือนโรคใบร่วง |
ก่อนปลูกยางท่านรองก้นหลุมด้วย ปุ๋ยหินฟอสเฟตหรือไม่??
การรองก้นหลุมปลูกยางพารา หรือการใส่ปุ๋ยหินฟอสเฟต หรือ ปุ๋ยร็อคฟอสเฟต (0-3-0) ในอัตรา 170 กรัมต่อหลุม หรือ 5-6 หลุมต่อปุ๋ย 1 กิโลกรัม
เป็นคำแนะนำที่ทางสถาบันวิจัยยางและสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง(สกย.)ได้แนะนำมาโดยตลอด ไม่ว่าจะปรับปรุงคำแนะนำกี่ครั้ง กี่หน
คำแนะนำในเรื่องนี้ ก็ยังไม่เปลียนแปลง ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ต้นยางได้รับธาตุฟอสฟอรัสอย่างเพียงพอในระยะที่จำเป็น ฟอสฟอรัส เป็น 1 ใน 3
ของธาตุอาหารหลักหรือธาตุอาหารที่พืชต้องการเป็นปริมาณมาก หรือมหธาตุ (Macronutrient Elements)
ปุ๋ยหินฟอสเฟตเป็นปุ๋ยที่จะคงอยู่ในดินได้นานที่สุดเมื่อเทียบกับปุ๋ยอื่นที่ให้ธาตุฟอสฟอรัส สำหรับต้นยางพาราแล้ว
มีประโยชน์ในการช่วยให้ระบบรากต้นยางโดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นเจริญเติบโตเร็ว ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญต่อการตั้งตัวในระยะแรก ๆ ของการปลูกยางพารา,
มีผลต่อการเจริญเติบโต และสำหรับต้นยางที่เริ่มให้ผลผลิต ก็จะทำให้ผลผลิตน้ำยางสูงด้วย
ปัจจุบันพบว่า มีบ้าง ที่เกษตรกรชาวสวนยาง มิได้รองก้นหลุมเหมือนที่เคยกระทำมาในอดีต ทั้ง ๆ ที่เป็นสวนยางที่ปลูกซ้ำรอบสอง รอบสาม
ซึ่งธาตุฟอสฟอรัสได้สูญเสียไปกับกิ่ง ก้าน ใบ ลำต้น ดอก ผล และผลผลิตน้ำยาง ทั้งนี้ สาเหตุหลัก ๆ
ที่ไม่ได้รองก้นหลุมก็คือชาวสวนยางไม่สามารถหาซื้อปุ๋ยหินฟอสเฟต ตามร้านค้าในระดับอำเภอได้ ยกเว้นอำเภอใหญ่ ๆ (แต่เดิม
สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง(สกย.) เป็นผู้จัดหาให้เกษตรกร ปัจจุบันสกย.ใช้นโยบายให้เจ้าของสวนยางจัดซื้อหรือหาเอง)
แต่อย่างไรก็ตาม ปุ๋ยหินฟอสเฟตก็ไม่ได้ขาดตลาด เพียงแต่ไม่มีจำหน่ายในระดับอำเภอเล็ก ๆ เนื่องจากทางร้านค้าคงจะขายได้น้อย ไม่คุ้มค่าขนส่ง
แต่หากชาวสวนยางต้องการซื้อปุ๋ยหินฟอสเฟตจริง ๆ ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะจัดการเรื่องนี้ได้ เนื่องจากมีเวลานานนับเดือนที่จะเตรียมการในเรื่องดังกล่าว
ผลิตภัณฑ์แนะนำ
- โกลด์มิค : สารโพแทสเซี่ยม-ฮิวเมท ชนิดผงเข้มข้น ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินที่แข็ง แน่นทึบ ให้โปร่ง ร่วนซุย และช่วยละลายปุ๋ยที่ตกค้างในดินให้นำมาใช้ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น และยังสามารถผสมปุ๋ยหว่านโดยลดปริมาณปุ๋ยลงได้
- ปุ๋ยปลา(ปลาหมัก) เพิ่มธาตุอาหาร หลักและเสริม ให้แก่ต้นยาง และยังช่วยปรับโครงสร้างของดิน
โดยวัตถุจากปลา ไม่มีสารเคมี
- เชื้อรา ไตรโคเดอร์ม่า ควบคุมโรครากเน่า โคนเน่า แบบปลอดสารพิษตกค้าง และเชื้อไตรโคเดอร์ม่าสามารถอยู่ในดินเพื่อที่จะควบคุมโรคพืชได้นาน เมื่ออยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ช่วยให้รากพืชแข็งแรง และมีภูมิต้านทานต่อโรคพืชหลายชนิด
-ยาทาหน้ายาง "รับเบอร์ดี" ทาหน้ายางเหนือ และใต้รอยกรีด จะช่วยป้องกัน โรคเส้นดำ โรคเปลือกเน่า โคนเน่า จะทำให้กรีดยางง่าย น้ำยางมาก